บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 2
วิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
กลุ่มเรียน 102 วันพฤหัสบดี เวลา 15.00 - 17.30 น.
************************************************************************
การเรียนการสอน
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ (Children with Special Needs)
- ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้ว่า เด็กพิการ ดังนั้นเด็กที่มีความต้องการพิเศษจึงหมายถึง ผู้ที่มีความผิดปกติ ผู้ที่มีความบกพร่อง หรือ ผู้ที่มีการสูญเสียสมรรถภาพอาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกายหรือการสูญเสียสมรรถภาพเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการดำ เนินชีวิตของเขาทำให้เขาไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ดีเท่ากับคนปกติ แต่หากมีการ แก้ไขอวัยวะที่บกพร่องไปให้สามารถให้งานได้ดังเดิมแล้ว สภาพความบกพร่อง อาจหมดไปทางการศึกษา ให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า หมายถึงเด็กที่มี ความต้องการ
- ทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการคือศึกษาให้ ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตรกระบวนการที่ใช้และการประเมินผล
ประเภทของเด็กพิเศษ
- กลุ่มเด็กที่มีความสามารถสูง หรือเป็นเลิศทางปัญญา กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้และพัฒนาตนเองได้เพราะเป็นผู้มีความสามารถทางสติปัญญา หรือความถนัดเฉพาะทาง เมื่อทำการทดสอบระดับสติปัญญา จะพบระดับสติปัญญาสูงกว่า 120 ขึ้นไป
- กลุ่มเด็กที่มีความบกพร่อง ด้วยความสามารถ กลุ่มนี้จำแนกได้ 9 ประเภทคือ
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา |
ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่พอสังเกตได้ดังนี้
- พัฒนาการทางร่างกาย ภาษา อารมณ์ และสังคม เช่น การชันคอ
- ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
- ช่วงความไม่สนใจสั้น วอกแวก
- ขาดความสนใจในสิ่งที่เฉพาะเจาะจง
- ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย
- อดทน ต่อการรอคอยน้อย
- ทำอะไรรุนแรง ไม่มีเหตุผล ไม่ถูกกาลเทศะ
- ความเข้าใจจากการฟังดีกว่าการอ่าน
- การจำตัวอักษร หรือข้อความน้อยกว่าวัย
- มักมีปัญหาทางการพูด
- อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ
- กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
- ไม่สามารถช่วยตนเองได้ เมื่อเปรียบเทียบกับวัยเดียวกัน
- ชอบเล่นกับเด็กที่มีอายุน้อยกว่า
- เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน |
- ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่พอสังเกตได้ ดังนี้
- ไม่ตอบสนองเมื่อเรียก
- มักตะแคงหูฟัง
- ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
- พูดไม่ชัด เสียงผิดปกติ
- พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
- พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
- พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
- เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
- รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
- ไม่มีปฏิกิริยาต่อเสียงดัง เสียงพูด เสียงดนตรี หรือมีบ้างเป็นบางครั้ง
- ไม่ชอบร้องเพลงไม่ชอบฟังนิทานแต่แสดงการตอบสนองอย่างสม่ำเสมอ ต่อเสียงดังในระดับที่เด็กได้ยิน
- มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
- ไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้
- เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น
ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นที่พอสังเกตได้ มีดังนี้
- เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
- ไม่สนใจในสิ่งที่ต้องการใช้สายตา เช่นการเล่นช่อนหา
- มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
- มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
- ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
- ขาดความสนใจ เหม่อลอย
- เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
- ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
- ลำบากในเรื่องการใช้บันได ใส่กระดุม ผูกเชือกรองเท้า อ่านและเขียนหนังสือ
- มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
สิ่งที่ได้จากการเรียนการสอน
- ชีวิตของเด็กที่มีความต้องการพิเศษจะได้รับผลกระทบจากลักษณะความบกพร่องของตนเอง ครอบครัว สังคม และการช่วยเหลือดูแลที่ได้รับ สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่คนรอบข้างควรรับรู้คือ ระดับความต้องการความช่วยเหลือของเด็กคนหนึ่งอาจเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติได้ในช่วงใดช่วงหนึ่งที่สำคัญของชีวิต เช่น การเข้าโรงเรียน หรือการเข้าสู่วัยรุ่น